แบบทดสอบการเลี้ยงดูลูกเชิงลบ

คุณกำลังเก็บงำความเจ็บปวดในตัวเองจากสิ่งที่พ่อแม่ปฏิบัติต่อคุณหรือไม่ ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผลหรือไม่ที่แม่ของคุณไม่กอดคุณมากพอเมื่อคุณยังเป็นเด็ก มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ เหรอที่พ่อของคุณไม่ได้อยู่ใกล้ๆ อย่างที่คุณต้องการ เอิ่ม ก็ใช่น่ะสิ การละเลยทางอารมณ์และการล่วงละเมิดของผู้ปกครองอาจส่งผลร้ายแรงมาถึงการสร้างครอบครัวของเราเองได้

แบบทดสอบนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณทราบว่ารูปแบบการเลี้ยงดูของคุณเป็นไปในทางลบหรือไม่ ตอบคำถามแต่ละข้อและดูว่าคุณได้คะแนนสูงในการทดสอบเชิงลบหรือเปล่ากันเถอะ

อะไรคือ แบบทดสอบการเลี้ยงดูลูกเชิงลบ

แบบทดสอบการเลี้ยงดูลูกเชิงลบ นี้ ประกอบด้วยคำถาม 42 ข้อที่จะช่วยเราค้นหาลักษณะบุคลิกภาพเชิงบวกของคุณ เรามีรายการของลักษณะบุคลิกด้านล่างเพื่อให้คุณอ่าน จากคำตอบของคุณ เราจะแสดงผลร่วมกับแผนภูมิเรดาร์ที่ไม่เหมือนใครของเรา ก็จะสามารถปะติดปะต่อเป็นบุคลิกเชิงบวกของคุณขึ้นได้

ฉันสามารถใช้ แบบทดสอบการเลี้ยงดูลูกเชิงลบ เพื่อประเมินผู้ปกครองคนอื่นได้หรือไม่

แน่นอน คุณสามารถตอบคำถามแต่ละข้อในแบบที่คุณเชื่อว่าผู้สอบจะตอบ หากคำถามใดคำถามหนึ่งนั้นเป็นข้อที่คุณไม่แน่ใจ คุณอาจจำเป็นต้องคาดเดาตามอัตวิสัย ยิ่งคุณพบว่าตัวเองต้องคาดเดามากเท่าไหร่ ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น นอกจากนี้ สิ่งที่เรียกว่าพฤติกรรมที่คุณกำลังทดสอบนั้นมาจากสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับบุคคลนี้เท่านั้น ดังนั้นจึงอาจแม่นยำในระดับหนึ่งเท่านั้น

อาจเป็นวิธีที่น่าสนใจสำหรับคุณในการมองเห็นการรับรู้ของคุณที่มีต่อผู้อื่น พวกเขาอาจต้องการทำเพื่อคุณด้วยซ้ำ คุณสามารถแบ่งปันผลลัพธ์ของคุณกับคนอื่นๆ และดูว่าแต่ละคนทำได้ดีเพียงใด แน่นอน เว้นแต่คุณจะทำแบบทดสอบด้วยตัวเอง คำตอบใดๆ ที่คนอื่นเดาได้จะไม่แม่นยำเสมอไป แต่เป็นแบบฝึกที่สนุกที่จะทำกับเพื่อนหรือครอบครัว ดูว่าพวกเขารู้จักคุณดีแค่ไหนและคุณรู้จักพวกเขาดีแค่ไหน ทำให้การทดสอบนี้เป็นประสบการณ์การแบ่งปันที่สนุกสนานกันนะ

คำอธิบายโดยละเอียดของบุคคลิกภาพด้านบวกของคุณ

การกีดกัน

การกีดกันเป็นรูปแบบการเลี้ยงดูที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดประสบการณ์และเสรีภาพของเด็ก รูปแบบนี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กมากเนื่องจากไม่อนุญาตให้เด็กสัมผัสกับโลกรอบตัวในทางบวก นอกจากนี้ยังทำให้ความรู้สึกของสิทธิ์ส่วนบุคคลหายไป ทำให้พวกเขารู้สึกหมดหนทางและไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองหรือดำเนินการอย่างอิสระ

การเลี้ยงดูแบบนี้มักพบในครอบครัวที่มีพ่อแม่เผด็จการซึ่งเชื่อว่าพวกเขากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกด้วยการจำกัดเสรีภาพของพวกเขา พ่อแม่ประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะควบคุมมากและไม่อนุญาตให้ลูกมีที่ว่างสำหรับความเป็นอิสระหรือการตัดสินใจด้วยตนเอง

ในกรณีเหล่านี้ เด็กอาจขาดโอกาสในการเล่น ความคิดสร้างสรรค์ การสำรวจ และการศึกษา โดยถูกบังคับให้อยู่ที่บ้านแทนที่จะออกไปเล่นข้างนอกหรือไปโรงเรียนกับเด็กคนอื่นๆ ที่อายุเท่ากัน พวกเขาอาจถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยี เช่น คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ได้ดีกว่าที่พวกเขาจะได้รับจากหนังสือเพียงอย่างเดียว (หรือแม้แต่รายการทีวีก็ตาม)

การกีดกันอาจมาจากการไม่สามารถเข้าถึงบางสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกดีหรือเติมเต็มความต้องการหรือความปรารถนาของคุณ ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนขาดความรักและความเอาใจใส่ตั้งแต่เด็ก พวกเขาอาจมีปัญหาในการเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะพวกเขาไม่เคยเรียนรู้วิธีรับความรักและความเอาใจใส่จากผู้อื่นมาก่อนนั่นเอง

การปกป้องเกินเหตุ

การปกป้องเกินเหตุหมายถึงแนวโน้มของบุคคลที่จะปกป้องผู้อื่นมากเกินไป การปกป้องเกินเหตุนี้ถือเป็นลักษณะบุคลิกภาพเชิงลบ เพราะนัจะป้องกันผู้ที่ถูกปกป้องจากการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จในชีวิตและตัดสินใจด้วยตนเอง

การปกป้องเกินเหตุหมายถึงแนวโน้มที่จะกังวลมากเกินไปกับความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อื่น เป็นรูปแบบการเลี้ยงดูทั่วไปและอาจพบได้ทั้งในพ่อแม่และลูกๆ อย่างไรก็ตาม มักจะเกี่ยวข้องกับมารดาซึ่งมักทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลบุตรของตน

การปกป้องเกินเหตุเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่หรือผู้ปกครองรู้สึกว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบทั้งหมดเพื่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลอื่น พวก​เขา​อาจ​ถือ​ว่า​ตน​เป็น​ผู้​รับผิดชอบ​เพื่อ​ความ​สุข​และ​ความ​สำเร็จ​ของ​ลูก ๆ แม้​จะเข้าวัย​ผู้ใหญ่แล้ว สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การตัดสินใจแทนลูกว่าไม่ควรคิดเองเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือเกิดปัญหาในภายหลังได้

ตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่ของคุณมักจะบอกคุณเสมอว่าควรใส่เสื้อผ้าอะไรเพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขารู้ว่าคุณใส่เสื้อผ้าแบบไหนดีกว่าให้คุณเลือกเอง แบบพวกเขาก็อาจจะปกป้องเกินเหตุ (และอาจไม่สนใจในความชอบของคุณ)

โดยทั่วไปแล้ว การปกป้องเกินเหตุจะทำให้เด็กๆ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตได้เท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ยากขึ้น เพราะพวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ลองเลย

การลงโทษ

การลงโทษเป็นลักษณะการเลี้ยงดูเชิงลบ มันเกี่ยวข้องกับการใช้ผลที่ตามมาในด้านลบ เช่น การขอเวลาคุยเพื่อสอนเด็กว่าพฤติกรรมบางอย่างเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ การเลี้ยงดูแบบนี้มักใช้เมื่อพ่อแม่รู้สึกผิดหวังและรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น

การลงโทษจะมีประโยชน์หากใช้เท่าที่จำเป็นและในปริมาณที่น้อย อย่างไรก็ตาม อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้หากพวกเขารู้สึกว่าถูกลงโทษอย่างต่อเนื่องจากการละเมิดหรือความผิดพลาดเพียงเล็กๆ น้อยๆ สิ่งนี้อาจทำให้เด็กรู้สึกเครียดและวิตกกังวล ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางพฤติกรรมมากขึ้นในอนาคต

เมื่อผู้คนถูกพ่อแม่ทำโทษ พวกเขาอาจรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าตนถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม พวกเขาอาจรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไปหรือผู้ปกครองก็ไม่ไว้ใจพวกเขาอีกต่อไปได้เช่นกัน สิ่งนี้อาจทำให้เด็กรู้สึกเศร้าหรือเหงาได้ด้วย การลงโทษยังทำลายความนับถือตนเองของเด็ก เพราะมันทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดีหรือมีบางอย่างผิดปกติกับพวกเขาหากพ่อแม่ยังคงทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

การควบคุมเกินเหตุ

การควบคุมเกินเหตุ เป็นคำที่อธิบายลักษณะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่พยายามควบคุมพฤติกรรมของลูกอยู่ตลอดเวลา เป็นมากกว่าแค่การกำหนดขอบเขต แต่ยังเกี่ยวกับการดูแลเด็กๆ ทุกย่างก้าวและตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

พ่อแม่ที่ใช้รูปแบบการเลี้ยงดูแบบนี้มักจะรู้สึกว่าพวกเขาต้องมีส่วนร่วมในทุกแง่มุมของชีวิตลูก ตั้งแต่สิ่งที่พวกเขาทำหลังเลิกเรียน ไปจนถึงวิธีที่พวกเขาใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ พวกเขามักจะต้องการรู้ว่าลูกๆ ของพวกเขากำลังจะไปที่ไหน ไปทำไม และไปกับใคร

พวกเขามักจะตัดสินการกระทำของผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกระทำเหล่านั้นไม่เป็นไปตามมาตรฐานของพวกเขาว่าควรทำอย่างไร พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะเข้ามาแทรกแซงปัญหาที่เกิดขึ้นแทนที่จะโทษผู้อื่นหรือรอให้คนอื่นแก้ไข (แม้ว่าพวกเขาจะบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม)

การควบคุมเกินเหตุอาจดูเหมือนเป็นความคิดที่ดีในตอนแรก เพราะมันช่วยให้เด็กๆ ปลอดภัยและทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็กและความภาคภูมิใจในตนเองของพวกเขาด้วย การเฝ้าจับตาดูอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีวันทำผิดพลาดหรือทดลองแนวคิดใหม่ๆ โดยไม่ถูกตำหนิจากผู้ปกครองได้เลย

การปฏิเสธ

การปฏิเสธคือการปัดตก ปฏิเสธที่จะยอมรับหรือรับทราบบางสิ่ง การถูกปฏิเสธมักเกิดจากการไม่ได้ถูกเลือกหรือไม่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น ความรู้สึกถูกปฏิเสธอาจเจ็บปวดและนำไปสู่ความรู้สึกละอายใจและความนับถือตนเองต่ำ เมื่อคุณค่าในตนเองของใครบางคนขึ้นอยู่กับการยอมรับจากผู้อื่น การปฏิเสธนั้นก็อาจสร้างความเสียหายได้

การปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตโดยธรรมชาติ ทุกคนมีประสบการณ์ในช่วงหนึ่งของชีวิต แต่ถ้าคุณถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือเคยประสบกับการถูกปฏิเสธหลายครั้งในชีวิต ก็อาจส่งผลต่อความนับถือตนเองและความรู้สึกมีค่าของตนได้

หากคุณถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆ หรือสมาชิกในครอบครัว หรือคนรัก อาจถึงเวลาที่ต้องถอยห่างจากความสัมพันธ์เหล่านั้นเพื่อที่คุณจะได้หายจากความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกปฏิเสธ บ่อยครั้งที่ผู้คนที่ประสบกับการถูกปฏิเสธประเภทนี้จะมีความหวังว่าสักวันหนึ่งสิ่งต่างๆ จะเปลี่ยนไป และพวกเขาจะได้กลับมาคืนดีกับคนรักอีกครั้งในเร็ววัน

การตามใจเกินเหตุ

การตามใจเกินเหตุเป็นรูปแบบการเลี้ยงดูที่เกี่ยวข้องกับการให้ทุกสิ่งที่เด็กต้องการรวมถึงการให้ความคุ้มครองที่มากเกินไป เป็นการเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย และอาจเป็นอันตรายต่อเด็กๆ ได้ เพราะมันสอนให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ต้องทำงานหนักหรือทำอะไรเพื่อตัวเองเลย

พ่อแม่ที่ตามใจมากเกินไปไม่เข้มงวดพอที่จะกำหนดกฏิกาและขอบเขต แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยจะอนุญาตเช่นกัน พวกเขาแค่ตามใจมากๆ เท่านั้น เมื่อพูดถึงรูปแบบการเลี้ยงดูที่แย่ รูปแบบนี้คือที่สุดแล้ว

ในหลายกรณี พ่อแม่ที่ตามใจเกินเหตุก็ปล่อยปละละเลยเช่นกัน พวกเขาอาจไม่ได้อยู่ใกล้ๆ อย่างที่ลูกๆ ต้องการให้อยู่ หรือพวกเขาอาจไม่รู้วิธีกำหนดขอบเขตให้กับลูกๆ เมื่อพวกเขาใช้เวลาร่วมกัน

พ่อแม่ที่ตามใจมากเกินไปมักรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกเสียคนและตามใจลูกโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา สิ่งนี้สามารถนำเด็กไปสู่เส้นทางของการหลงตัวเอง ซึ่งพวกเขารู้สึกว่ามีสิทธิ์และเหนือกว่าคนอื่นๆ เพราะพวกเขาถูกพ่อแม่ตามใจมาตลอดชีวิต

บุคลิกภาพและตัวตนบุคลิกภาพแบบทดสอบสุขภาพทางจิตบุคลิกภาพเชิงลบการเลี้ยงลูก
คะแนนรวมของแบบทดสอบบุคคลิกภาพเชิงบวกของคุณคือ [%TOTAL%] คะแนนของแต่ละหมวดหมู่มีดังนี้:

ลองอีกครั้ง